ทำเอาแฟนฟุตบอลทั่วโลกแทบหัวใจวาย จนเกือบเฉียดแฉลบไปถึงแซด กันเลยทีเดียว สำหรับการตามล่าหา “สุดยอดทีมเจ้ายุโรป” ประจำซีซั่น 2008 นี้ เมื่อกว่าจะควานหาผู้ชนะตัวจริงได้ ก็ถึงกับต้องพึ่งการดวลจุดโทษตัดสินชี้ชะตา เรียกได้ว่ามันส์จนหยาดหยดสุดท้าย ไม่ต่างจากตามลุ้น “เรียลิตี้ล่าฝัน” ยอดนิยมในบางประเทศ ดีที่ “ยูฟ่า” ไม่อุตริหยิบยกนโยบายใช้ผลโหวตมาเป็นตัวตัดสินหาคู่ชิงชนะเลิศ ไม่เช่นนั้น คงได้เห็นเจ้าของแชมป์ยุโรปมากที่สุดในเกาะอังกฤษ ยกพวกบุกแดนหมีขาวเป็นแน่ เพราะแฟนบอลประจำทีมในบางประเทศ ต่างนิยมส่ง SMS เป็นงานอดิเรกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
โดยท้ายที่สุดแล้วก็เป็น “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พกดวงมามากกว่าคู่แข่งร่วมชาติ จนสามารถคว้า “บิ๊กเอียร์” ไปตั้งตระหง่านกลางโรงละครห่งความฝันได้อีกใบ สร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้ง ดังเช่นเมื่อ 9 ปีก่อน
เมื่อลองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นในแคมป์ นู ซึ่งก็ได้ล่วงเลยมาแล้วถึง 9 ปีเต็ม แต่ภาพที่ “เชอริ่งแฮม” ตวัดยิงตามน้ำ กับ การที่ “โซลชาร์” บรรจงใช้ปลายสตั๊ดจุมพิตลูกบอลอย่างบางเบา ก็ยังคงไม่อาจเลือนหายไปจากความทรงจำ แถมยังเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนเสียด้วยซ้ำ แต่กรุณาอย่าถามถึงอีกหนึ่งประตูที่เกิดขึ้นในเกมนี้ล่ะ ว่าใครเป็นผู้ส่องประตูผี และบรรจงยิงสวยขนาดไหน ไม่ใช่ว่าลำเอียงหรือแกล้งไม่ใส่ใจ เพียงแต่เด็กน้อยเมื่อครานั้นมีโอกาสชมเกมการแข่งขันเพียง 20 นาทีท้ายเท่านั้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหานาฬิกาปลุกมันสร้างความเข็มเสียงไม่พอตามที่กำหนดนั้นเอง
แต่เหมือนฟ้าจะเกิดความเมตตาต่ออดีตเด็กมัธยมตาดำๆ คนหนึ่ง ที่แม้ดัชนีวัดอายุจะเปลี่ยนไปแต่หัวใจก็ยังสีเดิม จึงได้สร้างปาฏิหาริย์สุดลุ้นระทึกให้เกิดอีกครั้ง หลังจากที่หลอกให้อยากแล้วจากไปมา 9 ปีเต็ม โดยปาฏิหาริย์ที่ไม่จำเป็นต้องส่งฟอร์เวิร์ดเมล์ไปขอซื้อจากไหน เริ่มต้นด้วยเซอร์ไพร์สจากบรมกุนซือของมุมแดง เมื่อตำแหน่งปีกที่ได้เริ่มต้นเกมตกเป็นของ “ฮาร์กรีฟส์” แทนที่จะเป็น “กิ๊กซ์” หรือ “นานี่” ที่ชะเง้อรอข้างสนาม นอกจากนั้น “อาตี๋ปาร์ค” ที่ทำผลงานได้ดีในระยะหลัง จนถูกคาดหมายว่าจะได้รับโอกาสในเกมนี้แน่นอน กลับไม่มีแม้แต่รายชื่อสำรอง จนต้องระเห็จขึ้นไปนั่งลุ้นเพื่อนร่วมทีมบนอัฒจันทร์ด้วยชุดสูทสุดหรู แถมเริ่มเกมได้ไม่นาน ก็ถึงกับมีเลือดตกยางออก เมื่อ “สโคลส์” โชว์ให้โลกรู้ถึงเลือด “ปีศาจแดง” ที่มีอยู่เต็มตัว จากจังหวะตัดเกมใส่ “มาเกเลเล่” จนต้องสังเวยทั้งเลือดสดๆ และเหลืองเข้มๆ
และแล้วเลือดอันเข้มข้นของสโคลส์ ก็กลายเป็นเครื่องเซ่นที่ปลุกพลัง “คอสโม” ของเหล่าขุนพลปีศาจให้ลุกโชน “โรนัลโด้” จัดการบินเดี่ยวโดยไม่ใช้สลิงหรือพึ่งซุปเปอร์แมน ขวิดบอลไปนอนแน่นิ่งอยู่ก้นตาข่าย จากผลงานการเปิดบอลแบบนายช่างทองที่ไม่ใช่จะเห็นกันได้บ่อยๆ ของ “มิสเตอร์บราวน์” ส่งผลให้มุมแดงใส่สกอร์ออกตัวนำไปก่อนตั้งแต่ยังไม่ผ่านครึ่งชั่วโมงแรก
หลังประตูแรกบังเกิดขึ้น เกมก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นไปใหญ่ เมื่อต่างฝ่ายก็งัดไม้เด็ดแลกใส่กันอย่างไม่ลดละ มีจังหวะเสียวยิ่งกว่ายืนให้รถเฉี่ยวหลายต่อหลายหน แต่แล้วก็เป็นขุนพล “สิงห์สำอาง” ที่ทำสำเร็จ ด้วยลูกยิงฟ้าประทานของ “แลมพาร์ด” ซึ่งเริ่มต้นมาจากการเติมเกมขึ้นมายิงไกลของ “เอสเซียง” โดยบอลแฉลบขา “วิดิช” พุ่งชนเต็มหลัง “เฟอร์ดินานด์” ก่อนจะมาตกหน้าเจ้าของเสื้อหมายเลข 8 พอดิบพอดี ประจวบเหมาะกับ “น้าซาร์” เสียหักหักหลบไปกองกับพื้นพอดี บอลจึงได้สัมผัสกับตาข่ายในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา มุมน้ำเงินจึงตีตื้นขึ้นมาก่อนหมดเวลาครึ่งแรกเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ทำให้ทิศทางของเกมถ่ายโอนไปยังฝั่งมุมน้ำเงินอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจมีส่วนมาจากอิทธิฤทธิ์ “พลังคางคก” ที่ได้รับการถ่ายทอดในช่วงพักครึ่งด้วยก็เป็นได้ แต่ถึงจะเป็นฝ่ายบุกแหลก ลูกทีมของ “เฒ่าคางคก” ก็ทำได้แค่ป้อ…ล่อไม่เป็น เมื่อทั้งลูกยิงของ “ดร็อกบา” และ “แลมพาร์ด” ก็ทำได้เพียง 1 เสา กับอีก 1 คาน หาใช่ประตูอย่างที่ต้องการ หลังจากผ่านพ้นทั้ง 2 จังหวะนั้นไปแล้ว เรียกว่ามั่นใจได้เลยว่า “ยูไนเต็ด” โอกาสคว้าชัยสดใสสุดขีด เพราะมันบ่งชี้ให้เห็นว่า “เสี่ยหมี” ทำบุญเก่าเก็บมาเพียงเท่านั้นจริงๆ ลูกยิงฟ้าประทานมีเพียงหนึ่ง อย่าเรียกร้องมากกว่านี้…งบมีจำกัด
และดูเหมือนเกมจะจบ 120 นาทีลงแบบธรรมดาสามัญ แล้วไปวัดกันด้วยจุดโทษอย่างที่คนทั่วไปเค้าทำกัน แต่แล้ว “ดร็อกบา” ก็กลัวว่านัดชิงชนะเลิศรายการใหญ่ขนาดนี้ จะขาดสีสันให้กล่าวขวัญถึงไป จึงสวมวิญญาณนางเอกสังกัด “พิศาล อัครเศรณี” วาดมือตบเข้าเต็มหน้า “วิดิช” จนหันแบบไม่ต้องใช้มุมกล้อง ดีที่ปราการหลังชาวเซิร์บโดนล็อคคอไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้เห็นฉากจูบอันดูดดื่มตามบทบาทเป็นแน่ ผู้ตัดสินชาวสโลวาเกียจึงไม่ลังเลใจที่จะควักใบแดงให้กับกองเลือดร้อน ด้วยข้อหา “ตบจริง ไม่ใช้มุมกล้อง” ทำให้ “เชลซี” เหลือผู้เล่นเพียง 10 คนเท่านั้น สำหรับการเลือกเพชฌฆาตสังหารจุดโทษที่กำลังมาถึง นี่ไม่มีใครบอกดร็อกบาหรือไงว่า ยูฟ่าเค้าออกกฎใหม่ “ห้ามซ้อมบทละครกลางสนามบอล”
อย่างที่ทุกคนต่างรู้กันอยู่ว่าช่วงดวลจุดโทษนั้น ช่างเป็นเวลาที่บีบคั้นหัวใจสุดขีด แล้วมันยิ่งบีบหัวใจแฟนปีศาจเข้าไปใหญ่ เมื่อเพชฌฆาตมือหนึ่งอย่าง “โรนัลโด้” ดันทะลึ่งซัดไปเต็มหน้า “เช็ค” และก็ยิ่งบีบหัวใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเชลซีไม่มีทีท่าว่าจะพลาด จนมาถึงคราว “เทอร์รี่” จะต้องยิงปิดกล่องตัดสินแชมป์ กัปตันคนเก่งเดินเข้าประจำตำแหน่งเตรียมยิง ก่อนจะวิ่งเข้าหาบอลด้วยสีหน้ามุ่งมั่นใจเต็มร้อย ณ ขณะนั้น เชื่อว่าแฟนสิงห์ทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว คงเตรียมเฮกันอย่างพร้อมเพรียงเป็นแน่ แต่ แต่…แต่แล้ว “ยอดหญ้า” เจ้ากรรมก็ดันเกิดยาวเร็วเกินพิกัด อันน่าจะเป็นผลมาจากฝนที่เทกระหน่ำลงมา ส่งผลให้ปลายสตั๊ดของปราการหลังทีมชาติอังกฤษผู้นี้ สะดุดเข้าอย่างจังกับ “ยอดหญ้าอ่อนแรกของฤดูฝน” จนต้องลงไปนั่งเหยียดยาวบนจุดโทษ หลังจากที่บอลพุ่งหลุดกรอบออกไปอย่างหมดลุ้น เรียกเสียงเฮจากแฟนปีศาจแดงลั่นทั้งสนาม และอาจจะเฮกันลั่นทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว เมื่อการแข่งขันยังไม่จบลงง่ายๆ และต้องดวลตัวต่อตัวตัดสินกันต่ออีกหนึ่งยก สร้างปรากฏการณ์ “ผีลืมหลุม” ขึ้นมาอีกครั้ง ภาพปาฏิหาริย์เมื่อ 9 ปีที่แล้วเริ่มย้อนรอยกลับมาทีละน้อย
และเมื่อ “กิ๊กซ์” ซัดด้วยซ้ายตุงตาข่าย ภาพเมื่อคราวซัดย้ำชัยเหนือ “วีแกน” ในเกมลีคก็ผุดขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ก้าวออกมาจากมุมน้ำเงินอย่าง “อเนลก้า” เค้าลางแชมป์ก็เหมือนจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว “น้าซาร์” ก็โชว์เก๋า ด้วยการชี้นิ้วไปทิศทางเดียวกับที่นักเตะเชลซี ทุกคนซัดไปทางนั้น ประหนึ่งจะบอกกับอเนลก้าว่า “ถ้าเอ็งซ้อมยิงทางนั้นมา ก็เชิญยิงไปทางนั้นได้เลย” ซึ่งหากเชลซีตกลงกันมาว่า “จะยิงไปทางขวาเท่านั้น” ก็ต้องบอกว่าอเนลก้า เลือกที่จะเป็นตัวของตัวเองสุดๆ เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจซัดย้อนเลนเพื่อนทุกคน จนติดเซฟเต็มมือผู้รักษาประตูชาวดัทช์ ทำให้ขุนพลปีศาจแดงวิ่งกันอย่างหื่นกระหาย เห็นน้าซาร์ประดุจดังสาวคนรักก็ไม่ปาน ต้องขอกอดให้ชื่นหัวใจ นอกจากนักเตะยูไนเต็ดจะวิ่งกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว เชื่อว่าบรรดา “เรด อาร์มี่” ทั่วโลกก็คงต่างกัน หนึ่งในนั้นก็เป็นอดีตเด็กมัธยมเมื่อ 9 ปีก่อนคนนี้นี่แหละ!
และใบแดงเดียวในเกมนี้คงไม่มีความสำคัญเท่าใด หาก “เทน คาท” ไม่ออกมาเผยความจริงหลังเกมว่าอันที่จริงแล้ว 1 ใน 5 เพชฌฆาตหาได้มีชื่อ เทอร์รี่ ไม่ แต่เป็น ดร็อกบา ที่โชว์เพลงตบสุดกระฉ่อนไปสดๆ ร้อนๆ จนกัปตันคนเก่งต้องยกมือรับอาสาทำหน้าที่แทนในที่สุด
หลังจบเกมนี้ มีทั้งสถิติที่ยังคงทนถาวรต่อไป และบางสถิติที่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิม สถิติที่ยังอยู่ทนอยู่นานดุจมือถือค่ายดัง คงหนีไม่พ้น “การเข้าชิงแชมป์เจ้ายุโรปที่ไม่เคยแพ้” ของปีศาจแดง รวมไปถึง “การพาทีมเป็นรองแชมป์เจ้ายุโรปทุกครั้งที่เข้าชิง” ของมิดฟิลด์ห้องเครื่องนาม “บัลลัค”
ส่วนสถิติที่เปลี่ยนไป ก็คงเป็น “แชมป์เจ้ายุโรป” ที่ขยับจากจำนวน 2 สมัย เพิ่มมาเป็น 3 สมัย ตามหลังสุดยอดทีมที่ผงาดครองเจ้ายุโรปมาครองมากที่สุดในเกาะอังกฤษอยู่เพียง 2 สมัยเท่านั้น และอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ถือว่ายิ่งใหญ่สำหรับทีมยักษ์ใหญ่จากเมืองแมนเชสเตอร์ทีเดียว นั้นคือการเป็น “นักเตะที่ลงเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร” ของ “ไรอัน กิ๊กซ์” ด้วยการลงสนามทั้งหมด 759 นัด จากระยะเวลาที่อาศัยภายใต้ชายคาโรงละครแห่งความฝันมากว่า 18 ปี ซึ่งหลังจากคว้า “บิ๊กเอียร์” มาครอบครองเป็นใบที่ 2 ในชีวิตค้าแข้งได้สำเร็จ เจ้าของฉายาปีกพ่อมดก็ได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนตัวเพิ่มเติมอีกรางวัล จากสถิติที่เจ้าตัวบรรจงสร้างขึ้นใหม่ โดยผู้มอบก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจาก “เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน” เจ้าของสถิติคนเก่านั้นเอง
แล้วท้ายที่สุด ซีซั่น 2007-2008 แห่งเกาะอังกฤษก็รูดม่านปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ด้วยผลงานการเป็น “ดับเบิลแชมป์” อย่างยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อยให้คู่แข่งอีก 3 ทีมยักษ์ใหญ่ อยู่กับความเสียวกระสันมือเปล่าต่อไปอีกปี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็สามารถคว้าตำแหน่ง “ทริปเปิลรองแชมป์” ไปปลอบใจได้ในที่สุด
และเพื่อเป็นการฉลองดับบิลแชมป์ จึงอยากขอเชิญชวนเหล่าสหายปีศาจแดงร่วมกันปลูก “หญ้า” ลดโลกร้อน ตอบแทนโลกที่ช่วยสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นกับพลพรรคปีศาจแดง อีกครั้ง ซึ่งช่วยยืนยันกับ “ลุงกบ ทรงสิทธิ์” ให้ได้รู้เสียที “ใครว่าปาฏิหาริย์ไม่มีจริง”
chokechone11
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC